Category: Windows 8


ไลเซ่นของบริษัทไมโครซอร์ฟจะมีการขายขาดอยู่ 3 ลักษณะ

    1) OEM License – เป็นชนิดที่มีราคาถูกที่สุด แต่มีเงื่อนไขคือต้องซื้อพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ส่งมาจากผู้ผลิตมาซื้อทีหลังไม่ได้ และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์หาย ถูกขโมย หรือหมดอายุไม่สามารถย้ายไปใช้ที่เครื่องอื่นได้
    2) Open License – เป็นลักษณะที่ซื้อเป็นจำนวนมาก 5 ข้อดีคือสามารถใช้คีย์เดียวกันในการ activate ได้ สามารถย้ายเครื่องได้ แต่ราคาจะแพงกว่า OEM
    3) FPP – เป็นการซื้อซอร์ฟแวร์ที่อยู่ในกล่อง มีคู่มือการใช้และคำอธิบายมาด้วย ราคาจะแพงที่สุด

โดยปกติการขายให้กับหน่วยงานและบริษัทจะเป็นแบบ Open License ยกเว้นต้องการราคาที่ถูกอาจขายเป็นแบบ OEM ครับ ทั้งนี้ไม่รวมไลเซ่นชนิดที่เป็น subscription base เช่น Office 365 หรือ MSDN นะครับ

ดังนั้นถ้าเห็นแก่ว่าของถูกแม้จะ activate Windows ได้ แต่ถ้าใช้ผิดชนิดก็มีโอกาสที่ BSA จะมาเยี่ยมและถูกปรับอยู่ดีครับ

ถ้าข้อมูลที่ผมผิดหรือไม่ครบ รบกวนช่วยแจ้งด้วยนะครับ เนื่องจากไม่ได้ขายไมโครซอร์ฟมาหลายปีแล้ว

Advertisement

ทุกครั้งที่ Windows เปลี่ยนเวอร์ชั่น เวลาจะถอนการติดตั้งโปรแกรม หรือลบโปรแกรมจะต้องเข้าหลายเมนูมาก วันนี้ผมมีวิธีการง่ายๆ ที่จะลบโปรแกรมออกจาก Windows 8/8.1 ด้วยความรวดเร็ว
ทำง่ายๆ คือ
1) กดปุ่ม Windows ค้าง แล้วกด E (ปกติปุ่ม Windows จะอยู่ทางด้านซ้ายของ space bar อยู่ระหว่าง Ctrl กับ Alt)
2015-05-17_Fast_Unistall_Software_in_Windows_8_1

2) เลือก Uninstall or change a program
2015-05-17_Fast_Unistall_Software_in_Windows_8_2

3) เลือกโปรแกรมที่จะลบ แล้วกด Uninstall จากนั้นก็ตอบคำถามของแต่ละโปรแกรมไป ก็สำเร็จแล้วครับ
2015-05-17_Fast_Unistall_Software_in_Windows_8_3

เราสามารถหาที่อยู่ของ Microsoft KMS server ได้ง่ายๆ ด้วยคำสั่ง

nslookup -type=srv _vlmcs._tcp.modplusplus.com

อย่าลืมแทนที่ชื่อโดเมน modplusplus.com ด้วยชื่อโดเมน AD ของคุณนะ

ผลลัพธ์ก็จะคล้ายๆ แบบนี้

Server:  dc1.modplusplus.com
Address:  192.168.1.123

_vlmcs._tcp.modplusplus.com  SRV service location:
          priority      = 0
          weight        = 0
          port          = 1688
          svr hostname  = kms02.modplusplus.com
kms02.modplusplus.com   internet address = 192.168.1.124

ดังนั้น KMS server ตามตัวอย่างก็คือ kms02.modplusplus.com นั่นเองครับ

ตั้งแต่สมัย Windows 2000 ไมโครซอฟท์ใช้รูปแบบของ task manager แบบเดิมมาตลอด จนมาถึงเวอร์ชั่นปัจจุบันคือ Windows 8 ทางไมโครซอฟท์ได้เปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของ task manager ให้ดูเรียบง่ายขึ้น (หรือเปล่า) แต่ถ้าเราอยากเห็น task manager ในแบบเก่าก็ยังทำได้ครับ แต่ต้องเหนื่อยเพิ่มนิดนึงคือ

1) เมื่อเปิด task manager ขึ้นมาให้คลิ๊กที่ปุ่ม More details
Windows_8_Task_Manager_1

2) เลือก tab Details
Windows_8_Task_Manager_2

3) เท่านี้เราก็จะได้ task manager ในรูปแบบเดิมแล้วครับ
Windows_8_Task_Manager_3

เมื่อวานผมพบปัญหาตอนเปิด Gmail ด้วย Google Chrome ขึ้น error ว่า “Gmail – The app is currently unreachable”
Gmail-Proxy-1

แต่ Firefox กลับเปิดได้ พอลองทดสอบด้วย IE เข้าไม่ได้เช่นเดียวกับ Chrome จึงถึงบางอ้อว่า Chrome ใช้ proxy config ร่วมกับ IE นั่นเอง
Gmail-Proxy-2

เพื่อแก้ปัญหานี้เราสามารถเข้าไปเปลี่ยน proxy ของ Chrome ได้โดยไปที่
1) คลิ๊กที่สัญลักษณ์ขีดๆ ด้านขวา แล้วเลือก Settings
Gmail-Proxy-3

2) ให้หน้า Settings เลื่อนลงมาล่างสุดจะพบกับ Show advanced settings…
Gmail-Proxy-4

3) เมนูจะขยายออก ให้เลื่อนลงมาอีก แล้วเลือก Change proxy settings
Gmail-Proxy-5

4) ก็จะมีหน้า Internet Options ของ IE ปรากฏขึ้นมา ให้เลือก LAN settings แล้วติ๊กถูกออกให้หมดตามรูปให้หน้าจอ หรือหากอยู่ภายในที่ทำงานก็ให้กำหนดค่า proxy ตามที่แผนก IT แจ้ง
Gmail-Proxy-6

หมายเหตุ เนื่องจาก Chrome ใช้ proxy config ร่วมกับ IE ดังนั้นอาจกำหนด proxy จาก IE ก็ได้เช่นกันครับ

ถ้าเราเผลอลง Windows จากแผ่นที่เป็น MAK, retail แต่ต้องการจะไปแอคทิเวตกับ KMS ของที่ทำงาน สามารถทำง่ายๆ คือ
1) เรียก cmd.exe ด้วยสิทธิของ administrator (run as)

2) เปลี่ยน key ให้เป็น KMS Client Setup key หากใช้ Windows 8 Enterprise คือ 32JNW-9KQ84-P47T8-D8GGY-CWCK7 โดยให้พิมพ์คำสั่ง

slmgr.vbs /ipk 32JNW-9KQ84-P47T8-D8GGY-CWCK7

แต่หากเป็น Windows อื่นๆ ให้เปลี่ยน key ตามเวอร์ชั่นที่ใช้ โดยดูได้ที่ http://technet.microsoft.com/en-us/library/jj612867.aspx

3) ระบุที่อยู่ของ KMS server ด้วยคำสั่ง

slmgr /skms 192.168.123.123

โดยเปลี่ยนเป็น IP หรือ domain name ของ KMS server ขององค์กรที่ใช้อยู่

4) และสุดท้ายคือสั่ง activated ด้วยคำสั่ง

slmgr /ato



5) ถ้าอยากดูผลลัพธ์ก็สามารถดูได้ด้วยคำสั่ง

slmgr /dli

โปรแกรมที่เราติดตั้งผ่าน Windows Store จะไม่ได้อยู่ใน Programs and Features ดั้งนั้นเราไม่สามารถลบจาก Programs and Features ได้เหมือนกับวินโดวส์เวอร์ชั่นก่อนๆ

ทำได้โดยคลิกขวาที่ App ในหน้า Start แล้วกดปุ่ม Uninstall ด้านล่างซ้าย

จากนั้นกด Uninstall ใน pop-up อีกครั้งเพื่อยืนยันที่จะลบโปรแกรม

หากใครได้ลองใช้ Windows 8 ต้องการใช้ ISO Disk Image ตัววินโดวส์สามารถเปิดไฟล์ ISO ได้เลยนะ และจะมองเห็นเป็นไดร์ฟหนึ่งเลย ไม่จำเป็นต้องลง Daemon Tools หรือ Alcohol 120% แล้วครับ

ผมยังไม่มีโอกาสลองเหมือนกันว่าหากใช้ถึงไดร์ฟ Z: แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

หากใคร install Wireshark ลงใน Windows 8 64bit อาจพบปัญหาว่าไม่สามารถติดตั้ง WinPcap ได้ โดยขึ้นข้าความว่า “This version of Windows is not support by WinPcap 4.1.2. The installation will be aborted.” ทำให้ไม่สามารถ capture packet ได้

ปัญหานี้ไม่ได้เป็นที่ Wireshark แต่เกิดจากตัวติดตั้ง WinPcap มีการตรวจสอบเวอร์ชั่นของ OS ก่อนติดตั้งครับ ซึ่ง Windows 8 ยังไม่อยู่ในรายการที่ WinPcap เค้ารับรอง

วิธีแก้ไขง่ายมากครับ ทำโดยหลอกตัวติดตั้ง WinPcap ว่าตอนนี้เรากำลังใช้ Windows 7 ครับ โดยเริ่ม
1) คลิ๊กขวาที่ตัวติดตั้ง เลือก properties
2) เลือก Run this program in compatibility mode for: แล้วเลือก Windows 7

3) จากนั้นกด OK แล้วลองเรียกตัวติดตั้งอีกครั้งครับ

ซึ่งหากเราลองทดสอบโหมดอื่นๆ กับ cmd.exe ก็จะพบว่า

โดยแต่ละ compatibility mode จะมี version ดังนี้

Compatibility mode Version
Windows 2000 5.0.2195
Windows XP 5.1.2600
Windows Vista 6.0.6000
Windows Vista (Service Pack 1) 6.0.6001
Windows Vista (Service Pack 2) 6.0.6002
Windows 7 6.1.7600
Windows 8 6.2.9200

ดังนั้นหากโปรแกรมใช้วิธีการตรวจสอบระบบปฏิบัติการโดยใช้ version เราก็สามารถหลอกโปรแกรมด้วยวิธีนี้ได้ครับ แต่หากเป็นโปรแกรมที่จำเป็นต้องติดต่อกับระบบปฏิบัติการในแบบลึกๆ เช่น โปรแกรมต่อต้านไวรัส หรือไดร์เวอร์ ผมจะไม่แนะนำให้ใช้ครับ เพราะอาจส่งผลทำให้วินโดวส์ไม่มีเสถียรภาพ แฮ้งค์ได้ง่ายๆ จนบางครั้งอาจบูตไม่ขึ้นเลยก็เป็นได้ครับ

Microsoft Office 2013 ที่เพิ่งออกตัวจริงมาเมื่อไม่นานนี้ มีให้เลือกอยู่ 3 แบบ คือ
1) Microsoft Office 2013 รวมทั้งสองเวอร์ชั่นคือ 32 บิตและ 64 บิต
2) Microsoft Office 2013 เฉพาะ 64 บิต
3) Microsoft Office 2013 เฉพาะ 32 บิต

หากใครดาวน์โหลดเวอร์ชั่นที่มีทั้ง 32 บิตและ 64 บิตอยู่ด้วยกันต้องระวังกันนิดนึงนะครับ เพราะว่าตอนติดตั้งมันจะเลือก 32 บิตให้ แม้ว่าเครื่องคุณจะลงวินโดวส์ที่เป็น 64 บิตแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตามเรามีวิธีแก้ครับ เราสามารถเลือกได้ว่าจะลงเวอร์ชั่นไหนโดยเลือกโฟลเดอร์ x64 ก่อน แล้วค่อยเรียกใช้งาน setup.exe ที่อยู่ในโฟลเดอร์นี้ แทนที่จะเรียกใช้งาน setup.exe ที่อยู่ใน root folder เลยครับ เท่านี้เราก็จะได้ Microsoft Office 2013 ที่เป็น 64 บิตเช่นเดียวกับ Windows ครับ