Archive for November, 2012


ถ้าเราเผลอลง Windows จากแผ่นที่เป็น MAK, retail แต่ต้องการจะไปแอคทิเวตกับ KMS ของที่ทำงาน สามารถทำง่ายๆ คือ
1) เรียก cmd.exe ด้วยสิทธิของ administrator (run as)

2) เปลี่ยน key ให้เป็น KMS Client Setup key หากใช้ Windows 8 Enterprise คือ 32JNW-9KQ84-P47T8-D8GGY-CWCK7 โดยให้พิมพ์คำสั่ง

slmgr.vbs /ipk 32JNW-9KQ84-P47T8-D8GGY-CWCK7

แต่หากเป็น Windows อื่นๆ ให้เปลี่ยน key ตามเวอร์ชั่นที่ใช้ โดยดูได้ที่ http://technet.microsoft.com/en-us/library/jj612867.aspx

3) ระบุที่อยู่ของ KMS server ด้วยคำสั่ง

slmgr /skms 192.168.123.123

โดยเปลี่ยนเป็น IP หรือ domain name ของ KMS server ขององค์กรที่ใช้อยู่

4) และสุดท้ายคือสั่ง activated ด้วยคำสั่ง

slmgr /ato



5) ถ้าอยากดูผลลัพธ์ก็สามารถดูได้ด้วยคำสั่ง

slmgr /dli

Advertisement

หากเราต้องการตั้ง Public DNS แล้วไม่ต้องการให้ DNS ของเราเป็น Open DNS คือให้คนอื่นมาถามหาโดเมนอื่นหรือปิด recursive query นั่นเอง ข้อดีคือจะทำให้ CPU, RAM, และ network load ลดลง สามารถทำได้โดย
1) เลือก Start -> Administrative Tools -> DNS

2) คลิกขวาที่ชื่อเครื่อง DNS ที่ต้องการ แล้วเลือก Properties

3) ไปที่แท๊ป Advanced แล้วเลือก Disable Recursion จากนั้นกด OK

หากต้องการเปิด recursive query อีกครั้ง ก็แค่เอาเครื่องหมายถูกหน้า Disable Recursion ออกเท่านั้นเอง

โปรแกรมที่เราติดตั้งผ่าน Windows Store จะไม่ได้อยู่ใน Programs and Features ดั้งนั้นเราไม่สามารถลบจาก Programs and Features ได้เหมือนกับวินโดวส์เวอร์ชั่นก่อนๆ

ทำได้โดยคลิกขวาที่ App ในหน้า Start แล้วกดปุ่ม Uninstall ด้านล่างซ้าย

จากนั้นกด Uninstall ใน pop-up อีกครั้งเพื่อยืนยันที่จะลบโปรแกรม

หากใครได้ลองใช้ Windows 8 ต้องการใช้ ISO Disk Image ตัววินโดวส์สามารถเปิดไฟล์ ISO ได้เลยนะ และจะมองเห็นเป็นไดร์ฟหนึ่งเลย ไม่จำเป็นต้องลง Daemon Tools หรือ Alcohol 120% แล้วครับ

ผมยังไม่มีโอกาสลองเหมือนกันว่าหากใช้ถึงไดร์ฟ Z: แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ปัญหา VMware vSphere disconnect ทั้ง guest และ ESXi ไม่สามารถ manage หรือทำอะไรได้

หากเกิดจาก license หมดอายุ แก้ไขโดยต่ออายุด้วย license key ใหม่
โดยไปที่ Home

ไปที่ Administration > Licensing จากนั้นก็กรอก license key ชุดใหม่

กลับมาที่ Home > Inventory > Hosts and Clusters จากนั้นเลือกที่ ESXi แล้วเลือก Connect เท่านี้ก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนปกติ

หากเราใช้ Android เชื่อมต่อกับเมล์เซิร์ฟเวอร์แล้วได้ error message ว่า “ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ (500 #5.5.1 command not recognized)”

เมื่อทดสอบด้วยคำสั่ง EHLO จะไม่ผ่าน แต่หากใช้ HELO สามารถทำงานได้

S: 220 ************************
C: EHLO www.google.com
S: 500 #5.5.1 command not recognized
C: HELO www.google.com
S: 250 smtp01.modplusplus.com

ขออธิบายดังนี้ การทำงานของ SMTP จะทำงานได้อยู่ 2 โหมดคือ
1) โหมดดังเดิม (HELO)
2) โหมดเพื่อประสิทธิภาพ (EHLO หรือ Enhanced HELO) โดยโหมดนี้จะเพิ่มความสามารถในเรื่องการเข้ารหัสลับ TLS, การพิสูจน์ตน, และอื่นๆ

ปัญหานี้เกิดจาก 2 ปัจจัยคือ
1) มีอุปกรณ์เน็ตเวิร์คบางตัวไม่ยอมให้ใช้ EHLO เพราะจะไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้หากเปิดการใช้งานเข้ารหัสลับ TLS ซึ่งอุปกรณ์เน็ตเวิร์คดังกล่าวคือยี่ห้อ Cisco ไม่ว่าจะเป็น PIX, ASA, หรือแม้แต่ firewall service module หากเปิดใช้งานฟีเจอร์ inspect esmtp มันจะแก้ return code ปกติที่เป็น 250 จากเมล์เซิร์ฟเวอร์เป็น 5xx แทนครับ
2) mail client เจ้าอื่นๆ หากใช้ EHLO ไม่ได้มันยอมกลับไปใช้ HELO แต่ว่า Android มันไม่ยอม ต้องใช้ EHLO เท่านั้น

ดังนั้นวิธีแก้ง่ายมากครับ ปิดฟีเจอร์นี้ที่อุปกรณ์ Cisco วิธีการสามารถอ่านเพิ่มเติมจากคู่มือของ Cisco หน้า 14-10 http://www.cisco.com/en/US/docs/security/asa/asa83/command/reference/cmdref.pdf

หมายเหตุ: ในบางอุปกรณ์ Cisco บางเวอร์ชั่นจะสามารถใช้ EHLO ได้ แต่เมื่อมีการใช้งานคำสั่ง STARTTLS อุปกรณ์ Cisco ที่เปิดฟีเจอร์ดังกล่าว จะแก้ไข STARTTLS เป็น ******** เพื่อไม่ให้ใช้งานเข้ารหัสลับ TLS ได้เหมือนกันครับ

หากใคร install Wireshark ลงใน Windows 8 64bit อาจพบปัญหาว่าไม่สามารถติดตั้ง WinPcap ได้ โดยขึ้นข้าความว่า “This version of Windows is not support by WinPcap 4.1.2. The installation will be aborted.” ทำให้ไม่สามารถ capture packet ได้

ปัญหานี้ไม่ได้เป็นที่ Wireshark แต่เกิดจากตัวติดตั้ง WinPcap มีการตรวจสอบเวอร์ชั่นของ OS ก่อนติดตั้งครับ ซึ่ง Windows 8 ยังไม่อยู่ในรายการที่ WinPcap เค้ารับรอง

วิธีแก้ไขง่ายมากครับ ทำโดยหลอกตัวติดตั้ง WinPcap ว่าตอนนี้เรากำลังใช้ Windows 7 ครับ โดยเริ่ม
1) คลิ๊กขวาที่ตัวติดตั้ง เลือก properties
2) เลือก Run this program in compatibility mode for: แล้วเลือก Windows 7

3) จากนั้นกด OK แล้วลองเรียกตัวติดตั้งอีกครั้งครับ

ซึ่งหากเราลองทดสอบโหมดอื่นๆ กับ cmd.exe ก็จะพบว่า

โดยแต่ละ compatibility mode จะมี version ดังนี้

Compatibility mode Version
Windows 2000 5.0.2195
Windows XP 5.1.2600
Windows Vista 6.0.6000
Windows Vista (Service Pack 1) 6.0.6001
Windows Vista (Service Pack 2) 6.0.6002
Windows 7 6.1.7600
Windows 8 6.2.9200

ดังนั้นหากโปรแกรมใช้วิธีการตรวจสอบระบบปฏิบัติการโดยใช้ version เราก็สามารถหลอกโปรแกรมด้วยวิธีนี้ได้ครับ แต่หากเป็นโปรแกรมที่จำเป็นต้องติดต่อกับระบบปฏิบัติการในแบบลึกๆ เช่น โปรแกรมต่อต้านไวรัส หรือไดร์เวอร์ ผมจะไม่แนะนำให้ใช้ครับ เพราะอาจส่งผลทำให้วินโดวส์ไม่มีเสถียรภาพ แฮ้งค์ได้ง่ายๆ จนบางครั้งอาจบูตไม่ขึ้นเลยก็เป็นได้ครับ